Tuesday, June 19, 2012

ต้อหิน (glaucoma)


ต้อหินเป็นโรคตาที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในผู้สูงอายุเป็นสาเหตุของตาบอดเป็นอันดับสองรองจากต้อกระจก ต้อหินเป็นโรคที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของขั้วประสาทตา อันเนื่องมาจากเซลล์ประสาทตาถูกทำลายส่งผลให้มีการสูญเสียลานสายตาที่สามารถตรวจพบได้ตามมา ถ้าไม่รักษาก็จะทำให้ผู้ป่วยตาบอดได้ในที่สุด
เดิมเชื่อกันว่าต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงปัจจุบันความเข้าใจดังกล่าวได้เปลี่ยนไปแล้ว เนื่องจากพบว่าแท้ที่จริงมีปัจจัยอีกหลายๆ อย่างที่หนุนเนื่องทำให้เกิดโรคและสูญเสียเซลล์ประสาทตา กระนั้นความดันลูกตาก็ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงตัวหลักที่ทำให้โรคเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ การลดความดันลูกตาจะสามารถหยุดยั้งการดำเนินโรคและยับยั้งภาวะการสูญเสียสายตาได้ แม้แต่ในภาวะต้อหินที่ความดันลูกตาไม่สูง

ความดันลูกตามาจากไหน
ภายในลูกตาของคนเรา จะมีการสร้างของเหลวใสขึ้นมาภายในช่องหน้าของลูกตา ซึ่งจะมีการระบายออกไปมุมตา เป็นการปรับความดันภายในลูกตาให้สม่ำเสมอและทำให้ลูกตาคงรูปไว้ได้ กลไกที่ทำให้ความดันลูกตาสูงกว่าปกติมักจะเกิดมาจากการระบายออกของของเหลวใสนี้ผิดปกติ

ทำไมจึงเรียกโรคนี้ว่า ต้อหิน
ดังที่ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าความดันลูกตาที่สูงกว่าปกติเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ โรคต้อหินส่วนมากมักมีความดันลูกตาสูงถ้าความดันลูกตาสูงมากๆ เมื่อเราใช้นิ้วคลำดูจะรับรู้ได้ว่าลูกตานั้นแข็งกว่าปกติ จนมีบางคนเปรียบเทียบว่าแข็งเหมือนหิน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรคดังกล่าว ไม่ใช่เพราะมีก้อนที่คล้ายหินอยู่ในลูกตาของผู้ป่วยดังที่มีหลายท่านเข้าใจกัน

ต้อหินมีกี่ชนิด
โดยทั่วๆ ไปแบ่งคร่าวๆ ได้ 2 ชนิดคือ
1. ต้อหินมุมเปิด
2. ต้อหินมุมปิด
ต้อหินมุมเปิด คือ ต้อหินที่มุมตาเปิด (ซึ่งจะทราบได้จากการตรวจโดยจักษุแพทย์) แต่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพและชีวเคมีบางอย่าง ที่ทำให้มุมตาไม่สามารถระบายของเหลวออกจากช่องหน้าลูกตาได้ตามปกติความดันลูกตาจึงค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นภาวะต้อหินที่ความดันลูกตาไม่สูง เป็นหนึ่งในกลุ่มต้อหินมุมเปิด แต่เชื่อว่ามีความผิดปกติหรือปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นในผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่ทำให้เซลล์ประสาทตาไวต่อการสูญเสีย แม้ว่าความดันลูกตาจะสูงไม่มาก
ต้อหินมุมปิด คือ ต้อหินที่มีมุมตาปิด ส่วนมากสืบเนื่องจากผู้ป่วยมีโครงสร้างทางกายภาพของลูกตาที่มีแนวโน้มจะเกิดภาวะนี้อยู่แล้ว พบได้บ่อยในชาวเอเชียมากกว่าชาวตะวันตกหรือผิวดำโดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายจีน หรือมีโรคตาบางอย่างที่เป็นสาเหตุทำให้มุมตาปิด ของเหลวในช่องหน้าลูกตาระบายออกไม่ได้ ความดันจึงสูงขึ้น

จะรู้ได้อย่างไรว่ามีอาการของต้อหินแล้ว
ในกรณีที่เกิดต้อหินเฉียบพลัน โดยเฉพาะในกรณีต้อหินมุมปิดเฉียบพลันนั้น ความดันลูกตามักจะสูงขึ้นมากในระยะเวลาไม่นาน ทำให้เกิดอาการปวดตาหรือภายในกระบอกตาอย่างมากจนบางครั้งร้าวไปทั้งศีรษะ อาจมีคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ตาข้างที่เป็นจะแดงสู้แสงไม่ค่อยได้ น้ำตาไหล ตามัวลงอย่างมาก เป็นสัญญาณที่เตือนว่าควรจะต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยและรับการรักษา แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว เนื่องจากโรคค่อยเป็นค่อยไป เมื่อสังเกตได้ว่าตามัวลงและมาพบแพทย์ก็ตรวจพบว่าโรคดำเนินไปมากแล้ว เช่นนี้การเฝ้าระวังตัวเองมีความสำคัญมาก

การเฝ้าระวังตัวเองคืออะไร
ไม่ใช่คอยสังเกตว่าตัวท่านเองจะมีอาการของโรคเมื่อไรแต่เป็นการพิจารณาว่าท่านเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะมีโอกาสเป็นต้อหินด้วยหรือไม่ เพื่อจะได้รีบปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อตรวจว่าเป็นโรคหรือไม่ ซึ่งถ้าตรวจพบว่าเป็นหรือมีโอกาสสูงที่จะเป็นก็จะได้รับการรักษาเพื่อหยุดยั้งการดำเนินโรค

ปัจจัยเสี่ยง
1. มีประวัติบุคคลในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อ แม่ พี่น้องเป็นโรคนี้
2. อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
3. มีโรคที่มีผลต่อระบบหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคที่ทำให้หลอดเลือดเล็กๆ อักเสบเรื้อรัง
4. เป็นโรคปวดหัวไมเกรน หรือมีภาวะปวดปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า อย่างรุนแรงเวลาโดนความเย็นเนื่องจากเส้นเลือดหดตัวไวต่อภาวะอุณหภูมิต่ำ
5. สูบบุหรี่เป็นประจำ
6. สายตาผิดปกติมากๆ เช่น สั้นมากๆ หรือยาวมากๆ
(แต่ไม่ใช่ภาวะสายตายาวในผู้สูงอายุ)
7. เคยได้รับอุบัติเหตุอย่างแรงที่กระทบต่อลูกตาโดยตรง
8. เคยมีประวัติเสียเลือดอย่างมากจนช็อค



การรักษาโรคต้อหิน

ต้อหินเป็นโรคเรื้อรังที่มักจะอยู่คู่กับคนที่เป็นไปตลอดชีวิต คล้ายๆ กับโรคเบาหวานที่จะต้องคอยควบคุมและดูแลอย่างถูกต้อง ปัจจุบัน พบว่าผู้ป่วยโรคต้อหินส่วนใหญ่สามารถรักษาสายตาไว้ได้เป็นเวลานาน และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และติดตามผลการรักษาเป็นระยะๆ

หลักการรักษาต้อหินในปัจจุบัน เป็น การลดความดันภายในลูกตา เนื่องจากภาวะความดันในลูกตาสูงนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงเพียงอย่างเดียวที่สามารถควบคุมได้ ผลจากการศึกษาวิจัยจำนวนมากพบว่า การลดความดันในลูกตา

จะช่วยป้องกันไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายเพิ่มเติม แม้ว่าการรักษาต้อหินนั้นจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

วิธีรักษาต้อหิน

1. การลดความดันในลูกตานั้นมี 3 วิธีหลักๆ คือ การใช้ยาลดความดันตา การรักษาด้วยเลเซอร์ และการผ่าตัด

2. โดยทั่วไปการรักษาต้อหินนั้น ต้องพยายามควบคุมด้วยยาให้ได้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาหยอดตาเพื่อลดความดันตา เมื่อควบคุมด้วยยาหรือเลเซอร์ไม่ได้ แล้วจึงพิจารณาการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด

3. การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับ ผู้ป่วยแต่ละรายขึ้นอยู่กับ ชนิดของต้อหิน ความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย รวมทั้งโรคประจำตัวของผู้ป่วยแต่ละรายที่อาจแตกต่างกันไป

ต่อไปจะพยายามแยกกรอบไททาเนียมออก เป็นกลุ่มต่างๆเพื่อให้ง่ายต่อการพิเคราะห์ พิจารณาโดยไม่ได้อ้างอิงจากตำราไหนๆ แต่มาจากความเข้าใจของผู้เขียน สำหรับผู้อ่านท่านมีสิทธิ์ที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ - กลุ่มแรกเป็นกรอบไททาเนียมชนิดมีปลอกคอ คือเป็นพวกที่มียีห้อแฟชั่นดังๆกลุ่มนี้มีความแน่นอนอยู่สามอย่าง อย่างแรกคือแพงแน่นอน แต่เนื่องจากทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายมีภาระที่จะต้องรักษาภาพพจน์ของ ยี่ห้อ จึงคัดสรรสินค้าคุณภาพที่ค่อนข้างจะแน่นอน เมื่อผู้ซื้อประสพปัญหาหักหรือลอกก่อนเวลาอันควร ก็มักจะได้รับการบริการหลังขายแก้ไขให้

การรักษาด้วยยา

1. การรักษาโรคต้อหินด้วยยาลดความดันตา ถือ เป็นการรักษามาตราฐานเริ่มต้นสำหรับผู้ป่วยทุกราย ปัจจุบันนิยมเลือกใช้ยาหยอดตาในกลุ่มพรอสตาแกลนดินเป็นยาตัวแรกในการรักษา หลังจากติดตามผลระยะหนึ่งแล้ว อาจพิจารณาลดขนาดยา หรือปรับเปลี่ยนเป็นยาชนิดอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ หรือพิจารณาใช้ยาร่วมกันมากกว่าหนึ่งชนิด ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผลการศึกษาวิจัยระยะหลัง พบว่าผล การรักษาด้วยยามากกว่าหนึ่งชนิดดีกว่าผลการรักษาด้วยยาเพียงชนิดเดียว

2. ความก้าวหน้าของยาที่ใช้รักษาโรคต้อหินมีเพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ เดิมมีเพียงยาหยอดตา 5-6 ชนิด ปัจจุบันมียาหยอดตารักษาต้อหิน 14 ชนิด นอกจากจะมียาหยอดตาแล้ว ยังมียากิน ยาเม็ด ยาน้ำที่ช่วยลดความดันตาได้ เนื่องจากยาที่ใช้รักษาต้อหินมีมากมาย ถ้ามีปัญหาในการใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที แพทย์อาจพิจารณาปรับขนาดยา หรือเปลี่ยนยาเป็นชนิดอื่นๆ ได้

3. การใช้ยาต้องใช้ต่อเนื่องทุกวัน ถ้า หยุดยา ความดันตาจะเพิ่มสูงขึ้น ปัญหาอาจเกิดขึ้นกับยาบางชนิดที่ต้องใช้หยอดวันละหลายครั้ง อย่างไรก็ตามพบว่าส่วนใหญ่แล้ว คนไข้มักจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

4. ยาที่ใช้รักษาต้อหินออกฤทธิ์ลดความดันในลูกตา โดยกลไกหลักสองประการ ประการแรกโดยการระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา และประการที่สองโดยลดการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา

5. การหยอดตาต้องทำให้ถูกวิธีตามที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และ ต้องแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบทุกครั้งว่าท่านมีโรคประจำตัวหรือไม่ ใช้ยาอะไรประจำอยู่หรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกใช้ยาชนิดใดหรือกลุ่มใด

ยากระตุ้นอัลฟา


1. ยา กระตุ้นอัลฟา หมายถึง ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติชนิดซิมพาธิติก โดยจับกับตัวรับอัลฟา ชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ alpha-adrenergic agonists, adrenergic agonists, alpha 2-adrenergic agonists ตัวอย่างยากระตุ้นอัลฟา เช่น apraclonidine (Iopidine), brimonidine (Alphagan)

2. ยา กระตุ้นอัลฟาออกฤทธิ์ ลดความดันตา โดยลดการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา และมีฤทธิ์ระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา จากการกระตุ้นกล้ามเนื้อที่ขยายรูม่านตา และยังสามารถระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาออกทาง uveoscleral pathway ได้อีก

3. การนำยากระตุ้นอัลฟามาใช้รักษาโรคต้อหิน นิยมใช้ชนิดรูปแบบที่เป็นยาหยอดตา

4. ยา กระตุ้นอัลฟา นิยมใช้ก่อนการผ่าตัดต้อหิน และอาจใช้เป็นยาตัวแรกในการรักษาต้อหิน โดยพิจารณาใช้ร่วมกับยาต้านเบต้า หรือยาชนิดอื่นๆที่เป็นยามาตราฐานในการรักษาโรคต้อหิน ยากระตุ้นอัลฟาเป็นยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์และผู้ป่วย โรคหอบหืด นอกจากนี้ยังพบว่ายากระตุ้นอัลฟามีคุณสมบัติที่ดีในการป้องกันอันตรายต่อ เซลล์ประสาทอีกประการหนึ่ง

5. brimonidine (Alphagan) ใช้ได้ผลดีในการรักษาระยะยาว ส่วน apraclonidine (Iopidine) นิยมใช้รักษาช่วงสั้นๆ

6. อาจพบผลข้างเคียง ได้แก่ ปากแห้ง ลิ้นรับรสเปลี่ยนแปลง ตาแดง คันตา ตาบวม โพรงจมูกแห้ง และปฏิกิริยาแพ้ยา

ยาต้านเบต้า


1. ยาต้านเบต้า หมายถึง ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งระบบประสาทอัตโนมัติชนิดซิมพาธิติก โดยยับยั้งตัวรับเบต้าๆ ที่ใช้เรียกยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ beta-blockers, beta adrenoceptor blockers ยาต้านเบต้า แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดออกฤทธิ์ไม่จำเพาะเจาะจง nonselective และ ชนิดออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจง selective beta-blockers

ยา ต้านเบต้าชนิดออกฤทธิ์ ไม่จำเพาะเจาะจง หรือที่เรียกว่า nonselective adrenoceptor beta-blockers ได้แก่ Timolol (Timoptic, Betimol) ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันมานานแล้ว ส่วนยาต้านเบต้าชนิดออกฤทธิ์ไม่จำเพาะเจาะจงรุ่นใหม่ๆ หรือที่เรียกว่า newer nonselective drugs ได้แก่ levobunolol (Betagan), carteolol (Ocupress) และ metipranolol (OptiPranolol)

ยา ต้านเบต้าชนิดออกฤทธิ์ จำเพาะเจาะจง หรือที่เรียกว่า selective beta1-adrenoceptor blockers ได้แก่ betaxolol (Betoptic) และ levobetaxolol (Betaxon)

2. ยาต้านเบต้าออกฤทธิ์ลดความดันตา โดยทำให้การผลิตน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาลดน้อยลง

3. การ นำยาต้านเบต้ามาใช้ รักษาโรคต้อหิน นิยมใช้ชนิดยาหยอดตา ยาต้านเบต้าชนิดหยอดตาเป็นยารักษาต้อหินที่ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่ หลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง

4. เมื่อ ใช้ยาต้านเบต้าชนิด หยอดตา พบว่าตัวยาส่วนใหญ่จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกดูดซึมเข้าไปในกระจกตา ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ได้แก่ ความต้องการทางเพศลดลง เมื่อยล้าอ่อนเพลีย ซึมเศร้าหดหู่ กระวนกระวาย คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง และการหายใจ ติดขัด

5. กรณีผู้ป่วยโรคหอบหืด อาจทำให้อาการกำเริบได้

6. ไม่ ควรใช้ยาต้านเบต้า ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานร่วมด้วย ผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังได้รับการรักษาด้วยยาฉีดอินซูลิน ผู้ป่วยเบาหวานที่กินยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งนี้เนื่องจากผลข้างเคียงของยาจะคล้ายกับอาการที่เกิดจากภาวะระดับน้ำตาล ในเลือดต่ำ และอาจบดบังอาการของภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำได้

7. ไม่ ควรใช้ร่วมกับยารักษา โรคหัวใจ เช่น oral beta-blockers, calcium-channel blockers, quinidine เนื่องจากจะเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาชนิดเสริมเพิ่มฤทธิ์

8. การเปลี่ยนยาต้อหินชนิดอื่นๆมาเป็นยาต้านเบต้า จะทำให้ความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างทันทีทันใดจึงควรตรวจเช็คความดันตาหลังจากหยุดยาชนิดแรกแล้ว

ยาต้านเอนไซม์คาร์บอนิกแอนฮัยเดรส


1. ยา ต้านเอนไซม์คาร์บอนิ กแอนฮัยเดรส เรียกว่า carbonic anhydrase inhibitors (CAIs) ได้แก่ dorzolamide (Trusopt), brinzolamide (Azopt), acetazolamide (Diamox), methazolamide (Neptazane), dichlorphenamide (Daranide)

2. ยาต้านเอนไซม์คาร์บอนิกแอนฮัยเดรส ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์คาร์บอนิก แอนฮัยเดรสที่เซลล์เยื่อบุชนิด non-pigmented ciliary epithelium ทำให้การผลิตน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาลดน้อยลง

3. ยา ต้านเอนไซม์คาร์บอนิ กแอนฮัยเดรส สามารถลดความดันในลูกตาได้ถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มปริมาณเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงจอประสาทตาและเส้นประสาท ตาอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มยาต้านเบต้าไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้

4. ยาต้านเอนไซม์คาร์บอนิกแอนฮัยเดรส นำมาใช้รักษาโรคต้อหินสองรูปแบบ ทั้งชนิดยาหยอดตาและชนิดรับประทาน

5. ยาต้านเอนไซม์คาร์บอนิกแอนฮัยเดรสชนิดรับประทาน พิจารณาใช้ในกรณีที่ยาหยอดตาไม่ได้ผล หรือ อาจใช้ร่วมกับยาลดความดันตาชนิดอื่นๆ ได้ผลดีเช่นกัน จัดเป็นยาที่ใช้บ่อยพอสมควร โดยให้รับประทานพร้อมอาหารเพื่อลดอาการข้างเคียงของยา ข้อดีของยานี้อีกประการหนึ่ง คือสามารถใช้เป็นยาเพียงตัวเดียวได้ ในรายที่มีข้อห้ามใช้ยาต้านเบต้า หรือผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อยา pilocarpineยาต้านเอนไซม์คาร์บอนิกแอนฮัยเดรส ชนิดยาหยอดตา ได้แก่ dorzolamide (Trusopt) และ brinzolamide (Azopt) ยา ต้านเอนไซม์คาร์บอนิกแอ นฮัยเดรส ชนิดรับประทาน ได้แก่ acetazolamide (Diamox), methazolamide (Neptazane) และ dichlorphenamide (Daranide)

6. ผลข้างเคียง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย อาการชาบริเวณปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ผื่น อาการซึมเศร้าหดหู่ อ่อนแรง นิ่วในไต ปวดท้อง รับรสผิดปกติ หย่อนสมรรถภาพทางเพศ และน้ำหนักลด อาการข้างเคียงเกิดขึ้นกับ การใช้ยาชนิดรับประทานมากกว่า

7. ห้าม ใช้ยาต้านเอนไซม์ คาร์บอนิกแอนฮัยเดรส ในผู้ที่แพ้ยาซัลฟา ควรเลี่ยงไปใช้ยากลุ่มอื่นแทน ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเลือดบางชนิด ผู้ป่วยที่การทำงานของไตบกพร่อง และผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดกระจกตา

ยาอิปิเนฟริน


1. การรักษาโรคต้อหิน ยา อิปิเนฟริน หมายถึง ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งระบบประสาทอัตโนมัติชนิดพาราซิมพาธิติก ชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ epinephrine compounds, older anticholinergics, epinephrine and derivatives

2. ออกฤทธิ์ลดความดันในลูกตาโดยเพิ่มการระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา

3. สำหรับยาอิปิเนฟรินชนิดยาหยอดตา ปัจจุบันไม่ค่อยได้ใช้กันแล้ว เนื่องจากใช้ยากและผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ต่อมาภายหลังได้มีการพัฒนายาใหม่ ชื่อ propine (Dipivefrin)เป็นสารที่ไม่ออกฤทธิ์ในทันที แต่จะเปลี่ยนเป็นสารที่ออกฤทธิ์โดยเอนไซม์ที่อยู่ในกระจกตา ตัวยาออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในขนาดยาที่น้อย และก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อย

ยาหดรูม่านตา


1. ยาหดรูม่านตา หมายถึง ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งระบบประสาทอัตโนมัติชนิดพาราซิมพาธิติก ชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียก ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ miotics, cholinergic agonists, anticholinesterase miotics ตัวอย่างยาหดรูม่านตา ได้แก่ pilocarpine (Pilocar, Adsorbocarpine, Almocarpine, Isoptocarpine, Ocusert), Demecarium (Humorsol), isoflurophate (Floropryl), echothiophate (Phospholine)

ยาหดรูม่านตาออกฤทธิ์โดยทำให้ม่านตาถูกดึงออกห่างจากมุมระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา ส่งผลให้สามารถระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาได้มากขึ้นช่วยลดความดันในลูกตาในบริเวณด้านหน้าของลูกตา

2. ยาหดรูม่านตาที่นำมาใช้รักษาโรคต้อหินเป็นชนิดยาหยอดตา

3. ยาหดรูม่านตา pilocarpine (Pilocar, Adsorbocarpine, Almocarpine, Isoptocarpine, Ocusert) เป็น ยาที่ใช้รักษาโรคต้อหินอย่างแพร่หลายก่อนที่จะมีการนำยาต้านเบต้าชนิดหยอดตา timolol มาใช้

4. การใช้ยา timolol หรือ latanoprost ร่วมกับ pilocarpine ได้ผลดีกว่าการใช้ยาเพียงตัวเดียว

5. pilocarpine มีข้อเสียตรงที่ต้องใช้วันละหลายครั้ง เนื่องจากตัวยาถูกกำจัดออกจากร่างกายในเวลาอัน รวดเร็ว จึงอาจทำให้การใช้ยาให้สม่ำเสมอค่อนข้างยากสำหรับผู้ป่วยบางคน

6. ยา หดรูม่านตาชนิดออก ฤทธิ์นาน เช่น demecarium (Humorsol), isoflurophate (Floropryl), echothiophate (Phospholine) จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า anticholinesterase miotics ซึ่งเป็นยาที่ใช้ยาก อาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว

7. ผลข้างเคียง ได้แก่ ปวดตา สายตามัว ปฏิกิริยาแพ้ คัดจมูก เหงื่อออก น้ำลายเพิ่มขึ้น และอาการทางระบบทางเดินอาหาร

ยาพรอสตาแกลนดิน


1. ยาพรอสตาแกลนดิน prostaglandins, prostaglandin analogs เป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ตัวอย่างยาพรอสตาแกลนดิน ได้แก่ latanoprost (Xalatan), unoprostone (Rescula), travoprost (Travatan), bimatoprost (Lumigan)

2. พรอสตาแกลนดินเป็นสารคล้ายฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ยาพรอสตาแกลนดินจะช่วยระบาย น้ำหล่อเลี้ยงลูกตา และช่วยลดความดันตาลงได้ จากการศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของยา พบว่าตัวยามีผลต่อเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา เซลล์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า ciliary body ตัวยามีฤทธิ์ทำให้ช่องว่างระหว่างเซลล์เพิ่มมากขึ้น เป็นการเพิ่มช่องทางระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาอีกช่องทางหนึ่ง ช่องทางระบายนี้เรียกว่า uveoscleral aqueous outflow

3. ยาพรอสตาแกลนดินที่นำมาใช้รักษาโรคต้อหินเป็นชนิดยาหยอดตา โดย ชนิดแรกที่ออกวางจำหน่ายคือ latanoprost 0.005% solution (Xalatan) ตามมาด้วย travoprost 0.004% solution (Travatan) และ bimatoprost 0.03% solution (Lumigan)

4. การใช้ยาพรอสตาแกลนดินสะดวกแก่ผู้ป่วย ใช้หยอดตาเพียงวันละหนึ่งครั้ง ยา พรอสตาแกลนดินไม่มีผลข้างเคียงต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย เนื่องจากกลไกการออกฤทธิ์ต่างจากยากลุ่มอื่นๆ จึงให้ผลเสริมกันในการลดความดันตา สามารถนำมาใช้ในผู้ป่วยต้อหินชนิดมุมเปิดที่ได้ยากลุ่มอื่นเต็มที่แล้ว ความดันตายังสูงอยู่

5. เมื่อเปรียบเทียบกับ timolol ยาพรอสตาแกลนดินสามารถลดความดันในลูกตาได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ brimonidine ยาพรอสตาแกลนดิน latanoprost (Xalatan) สามารถลดความดันในลูกตาได้ดีกว่า

6. ยาพรอสตาแกลนดินใช้ได้ในผู้ป่วยที่ความดันตาไม่สูง normal-tension glaucoma และยาพรอสตาแกลนดินไม่มีผลข้างเคียงต่อหัวใจและหลอดลม สามารถใช้ได้ดีกับผู้ป่วยโรคหัวใจ และหอบหืด

7. จากการศึกษาวิจัยยาในกลุ่มพรอสตาแกลนดิน พบว่าแต่ละชนิดมีฤทธิ์ลดความดันในลูกตาได้ใกล้เคียงกัน ยา พรอสตาแกลานดินชนิดใหม่ travoprost (Travatan) และ bimatoprost (Lumigan) พิจารณาใช้ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อ latanoprost (Xalatan) และพบว่ายาพรอสตาแกลนดินชนิดใหม่ ใช้รักษาโรคต้อหินในคนแอฟริกันอเมริกันได้ดีกว่า timolol

8. latanoprost (Xalatan) เป็นยาหยอดตาพรอสตาแกลนดินชนิดแรกที่นำมาใช้รักษาโรคต้อหิน โดย เฉลี่ยสามารถลดความดันของลูกตาได้ร้อยละ 45-70 การศึกษาระยะหลังพบว่า ยาพรอสตาแกลนดินชนิดใหม่ travoprost (Travatan) และ bimatoprost (Lumigan) ใช้รักษาโรคต้อหินโดยลดความดันของลูกตาได้มากกว่า latanoprost (Xalatan) แต่การใช้ยา latanoprost (Xalatan) จะใช้ได้ง่ายกว่า พบว่าผู้ป่วยสามารถทนยาได้ดีกว่ายาพรอสตาแกลนดินชนิดใหม่

9. latanoprost (Xalatan), travoprost (Travatan), bimatoprost (Lumigan) ใช้สะดวกเพียงวันละครั้ง ส่วน unoprostone (Rescula) เป็นยาที่ต้องใช้วันละสองครั้ง ผลการลดความดันในลูกตาสู้ตัวอื่นๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้รักษาได้ ราคาถูกที่สุดในกลุ่ม

10. bimatoprost (Lumigan) สามารถลดความดันตาได้ดีกว่าการใช้ timolol ร่วมกับ dorzolamide (Cosopt)

11. ผลข้างเคียง ได้แก่ ตาแดง เจ็บตา ม่านตามีสีเข้มขึ้น สีเปลือกตาเปลี่ยนแปลง และจอภาพบวม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ตาแดง และคันตา ยากลุ่มนี้เพิ่มการไหลเวียนเลือดในลูกตา และมีผล ขนตาหนาขึ้น ยาวขึ้น ในผู้ป่วยบางราย ซึ่งมักเกิดกับยาพรอสตาแกลนดินชนิดใหม่ travoprost (Travatan) และ bimatoprost (Lumigan) มากกว่า latanoprost (Xalatan)

การรักษาด้วยเลเซอร์

ส่วนใหญ่แพทย์จะเลือกใช้วิธีการรักษาด้วยเลเซอร์ เมื่อ พบว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาไประยะหนึ่ง แล้วไม่ได้ผลเท่าที่ควร หลักการคือใช้ลำแสงเลเซอร์สร้างทางเปิดเล็กๆในลูกตาเพื่อให้เป็นทางระบายของ น้ำหล่อเลี้ยงลูกตา โดยแพทย์จะหยอดยาชาที่ตา หลังจากนั้นจะใช้พลังงานจากแสงเลเซอร์เพื่อเปิดทางเดินน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา

ขณะทำการรักษา ผู้ป่วยอาจจะเห็นแสงเหมือนถ่ายรูป และอาจมีอาการระคายเคืองตาได้บ้าง หลังการรักษาด้วยเลเซอร์ ผู้ป่วยยังจำเป็นที่จะต้องใช้ยาเพื่อลดความดันตา และในบางรายอาจจะต้องทำการรักษาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

การ ที่จะเลือกใช้การรักษา ด้วยเลเซอร์ชนิดใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ อาทิเช่น ชนิดของต้อหิน สภาพของลูกตา ความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็น ส่วนใหญ่การรักษาด้วยเลเซอร์จะกระทำที่ห้องตรวจโรคโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเข้า พักรักษาตัวในโรงพยาบาล

การรักษาโรคต้อหิน


1. การรักษาด้วยเลเซอร์ชนิด laser trabeculoplasty ใช้รักษาโรคต้อหินชนิดมุมเปิด โดยใช้พลังงานแสงเลเซอร์สร้างรูทางเปิดเล็กๆ ที่มุมระบายของลูกตา ช่วยให้ระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาได้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดความดันตา

2. ในกรณีต้อหินชนิดมุมปิด แพทย์จะเลือกใช้วิธี laser peripheral iridotomy ซึ่งเป็นการสร้างรูทางเปิดเล็กๆ ที่ม่านตา ช่วยให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาสามารถระบายหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น

3. การรักษาด้วยเลเซอร์ชนิด laser cyclophotocoagulation ใช้ในรายที่เป็นมากและโรครุนแรง เป็นการทำลาย ciliary body บางส่วน ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่ผลิตน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา ช่วยให้การสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาลดน้อยลงการรักษาโรคต้อหิน

การผ่าตัด


การ ผ่าตัดสำหรับผู้ป่วย ต้อหินเป็นสิ่งจำเป็น หากไม่สามารถควบคุมโรคได้ด้วยยาและเลเซอร์ ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดเพื่อลดความดันภายในลูกตาแบบธรรมดาไม่ได้ผลก็อาจจำเป็น ต้องใช้ท่อสังเคราะห์พิเศษ ซึ่งเชื่อมต่อกับจานหรือที่เก็บกักการรักษาโรคต้อหิน

1. การผ่าตัดชนิดจุลศัลยกรรม การผ่าตัดชนิดจุลศัลยกรรมเป็นการผ่าตัดต้อหินเพื่อลดความดันลูกตา โดยแพทย์ทำการผ่าตัดเจาะรูที่ผนังลูกตา เปิดทางระบายให้น้ำข้างในออกมาอยู่ที่ใต้เยื่อบุตา เพื่อลดความดันข้างในลูกตา การผ่าตัดชนิดนี้เรียกว่า Filtering Microsurgery อาจทำการผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยในโรงพยาบาลก็ได้


นอก จากนี้ ยังมีการใช้สารเคมีบำบัด หรือยาที่ใช้รักษามะเร็งบางชนิด มาช่วยเสริมการผ่าตัด โดยออกฤทธิ์ไม่ให้ร่างกายสร้างพังผืดขึ้นมาปิดรูนั้น เพื่อจะได้ระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาออกจากรูระบายได้นานขึ้นหรือตลอดชีวิต

2. การรักษาโรคต้อหิน การผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา ถ้าผ่าตัดด้วยวิธีข้างต้นดังกล่าวแล้ว ยังไม่ได้ผลลดความดันลูกตา อาจเป็นเพราะร่างกายสร้างพังผืดมาปิดแผลผ่าตัดหมด จึงได้มี การคิดค้นท่อระบายเพื่อใช้สำหรับฝังเข้าไปในลูกตา แล้วระบายน้ำออกไปใต้เยื่อบุตาทางด้านหลัง ซึ่งโอกาสจะเกิดพังผืดขึ้นมาปิดดวงตานั้นน้อยกว่าการผ่าตัดโดยทั่วๆ ไป


ท่อ ระบายเป็นท่อขนาดเล็ก ลิ้นในท่อทำหน้าที่เปิด-ปิด โดยเมื่อความดันตาเพิ่มขึ้น ลิ้นจะเปิดเพื่อระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา และเมื่อความดันตาลดลงจนปกติ ลิ้นในท่อถึงจะปิด การผ่าตัดฝังท่อระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาได้ผลดีร้อยละ 70-90 ในเวลาหนึ่งปีภายหลังการผ่าตัด

ในช่วงหลังผ่าตัดระยะแรก อาจจะมีการอักเสบเกิดขึ้นบ้าง ผู้ป่วยอาจจะมองไม่ค่อยชัดในช่วงแรก แต่อย่างไร ก็ตามเมื่อเข้าสู่สภาพปกติภายในประมาณ 4-6 สัปดาห์ไปแล้ว พบว่าสายตาก็จะกลับมามองเห็นเหมือนก่อน การผ่าตัด ไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลงไปจากเดิม

สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดแล้ว ก็ยังจะต้องมีการควบคุมความดันในลูกตาไปตลอดชีวิต และต้องหมั่นมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

วิธีการในทางธรรมชาติบำบัด

1. การล้างของเสียออกจากร่างกาย โดยการล้างพิษ ไม่ว่า จะเป็น การดื่มน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ (วันละ 2 - 3 ลิตร) การดื่มน้ำต้มโหระพา (วันละ 8 – 15 แก้ว) เพื่อลดความเป็นกรดในเลือด ลดไขมัน และของเสียในเลือด ทุกวัน

-   การต้มน้ำโหระพาเป็นน้ำชาสมุนไพรเพื่อลดความเป็นกรดในเลือดนั้นทำได้โดยใช้โหระพาประมาณ   1 กำมือ น้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มให้น้ำเดือดประมาณ 10 นาทีแล้วยกลง ดื่มตลอดวัน



2. ฟื้นฟูการทำงานของไต โดยการทาน น้ำกระชายปั่น

3. ทำการปรับภาวะอารมณ์ใหม่ หรือ ล้างพิษออกจากจิต ด้วย Emotion Detox การนั่งสมาธิ การปฏิบัติธรรม การแผ่เมตตา การให้อภัย เป็นการลดภาวะ การเครียด ความโกรธ ความเกลียด ได้อย่างดี

4. การดื่มน้ำสะอาดบำบัดโรค เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการละลายของเสียในร่างกายออกด้วยการละลายออกมาทางเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ เป็นต้น

5. การหยอดล้างตา ขึ้นกับชนิดของยาหยอดตาว่า เพื่อลดความดันในลูกตา หรือ เพื่อลดการอักเสบการติดเชื้อ ซึ่งก็ใช้ตามแพทย์สั่ง

6. การเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า งดเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก งดเนื้อที่มีไขมันสูง อาหารที่มีความเค็ม และไขมันสูง เน้นอาหารที่มีแร่ธาตุ และวิตามินในการบำรุงสายตา บำรุงประสาท เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 12 วิตามินบี 6 เป็นต้น

Ref: http://www.siamhealthy.net/article/1_dr_talk/page_2/Ar_11.htm

No comments:

Post a Comment